Sunday, 31 May 2015

2010 Wat Pathum Killings Witness Statement of Kittichai Kaengkan

คำให้การของพยานนายกิตติชัย แข็งขันในเหตุการ์สังหารหมู่วัดปทุมฯ ปี 2553

เอกสารนี้คือบันทึกคำให้การของพยานนายกิตติชัย แข็งขันอย่างเป็นทางการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ พยานได้รับการว่าจ้างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 1และอยู่ตรงข้ามวัดปทุมฯ กิตติชัยไม่ได้เพียงแค่เห็นกองทัพไทยยิงประชาชนที่วัดปทุมฯ เท่านั้น แต่เขายังถูกหทารยิงถึงสองครั้งด้วยกัน เอกสารฉบับนี้ลงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553  และลงนามโดยบุคคลสองคน ได้แก่พนักงานอัยการภานุพงษ์ โชติสิน และพนักงานสอบสวนดีเอสไอ พ.ต.ท.ธรณินทร์ คลังทอง บันทึกคำให้การยังรวมถึงภาพถ่ายของสถานที่เกิดเหตุด้วย กิตติชัยคือพยานคนสำคัญและเป็นผู้พูดจาอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารหมู่ที่วัดปทุมฯ ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เขาเสียชีวิตลงอย่างกระทันหันและปราศจากคำอธิบายถึงสาเหตุการเสียชีวิตอย่างแท้จริง

ในบันทึกคำให้การ กิตติชัยกล่าวว่าเขาได้รับการว่าจ้างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเวลาสองอาทิตย์เพื่อให้มาเดินสายไฟ ในเที่ยงวันของวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เขาเดินทางไปพบเพื่อนของเขาซึ่งเป็นผู้ชุมนุมนปช.จากขอนแก่นและอาศัยอยู่ในวัดปทุมฯ ในเวลา 18 นาฬิกาของวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ระหว่างที่เขายืนอยู่หน้าวัดปทุมฯ เขาได้ยินเสียงปืนหลายครั้งดังมาจากรถไฟฟ้าบีทีเอส เขาจึงวิ่งเข้าไปในวัดและหลบอยู่ใต้ท้องรถยนตร์

เมื่อกิตติชัยถูกยิงที่หลังระหว่างที่หลบอยู่ใต้ท้องรถ เขาได้โบกมือออกมาจากใต้ท้องรถแต่กลับถูกยิงที่มืออีกครั้ง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงตะโกนว่า “ออกมาจากใต้ท้องรถ ถ้าไม่ออกมาจะยิงให้ตายหมด”

เมื่อเขาคลานออกมาจากใต้ท้องรถ กิตติชัยเห็นทหารสองนายถือปืนยาวเล็งมาที่เขาอย่างชัดเจน เขากล่าวเพิ่มว่าทหารอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ 30-50 เมตร และในขณะนั้นยังมีแสงสว่างอยู่

กิตติชัยกล่าวว่าไม่มีผู้ชุมนุมคนใดในวัดปทุมฯ มีอาวุธ
 

This document is the transcript of an official Department of Special Investigation (DSI) witness statement as provided by Kittichai Kaengkan, a contractor employed at the Royal Thai Police’s HQ on Rama 1 Road, just opposite the Wat Pathum temple. Kittichai not only witnessed the Thai Army shooting at Wat Patum but was also shot twice himself. The document is dated October 20, 2010 and is signed by Kittichai and two other persons - the prosecutor, Panuphong Chotisin and DSI investigator, Police Lieutenant-Colonel Torranin Klangtong. As well as the transcript the document also includes a number of photographs at the crime scene. Kittichai was an outspoken and key witness regarding the killings at Wat Prathum. He died, suddenly and without real explanation, on October 1st 2012.

In his statement Kittichai says he was contracted by Police HQ to work for two weeks on the electricity system. At noon on May 19, 2010 he went to see his friends from Khon Kaen who were UDD protesters staying at Wat Pathum. At 18.00 May 19 2010 he was in front of the temple when he heard many gunshots coming from the BTS so he ran back into the temple and hid under a car.

Whilst Kittichai was under the car he was shot in the back, so he waved both hands but was shot again, this time being shot through his hand. He then heard shouting “get away from the car, otherwise I will shoot you all dead!”

When he crawled out from under the car, Kittichai clearly saw two armed soldiers on the BTS rail pointing rifles at him - he added those soldiers were only 30-50 metres away from him and there was still daylight.

Kittichai stated none of the protesters in the temple were armed.















Here are the photographs attached to the statement/นี่คือภาพถ่ายที่แนบมากับคำให้การ


After Kittichai heard gunshots he ran to this spot and hid under the car.




Kittichai points to the position where the Thai Army soldiers who pointed their rifles at him were.
  


This is the spot where he crawled out from under the car and shot.


This is the spot where Kittichai waved his hands to show he was unarmed and he was then shot in the hand.


After Kittichai was shot in the back and the hand he was ordered to stand by the soldiers and remove his shirt.

Kittichai points to the direction he ran after he was shot. He then sought help at the medical tent.

In the picture Kittichai points to the position of the medical tent, in the lower one he points to the spot where he collapsed.


Kittichai shows the scar on his hand from the bullet wound.


Another photo showing Kitticha's gunshot wound in his hand.

This photo shows Kittichai's gunshot wound in his back.

 


Friday, 29 May 2015

Thai Army Small Arms Munitions Use During Bangkok Massacre 2010

กระสุนปืนที่กองทัพไทยใช้ระหว่างเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ ปี 2553
(scroll down for English)

นี่คือเอกสารฉบับฉบับล่าสุดที่เราเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในแคมเปญ Thailand Accountability Project (TAP) เราเชื่อว่าเอกสารทั้งหมดหรือบางฉบับนี้อาจถูกเผยแพร่มาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เราเผยแพร่เอกสารทั้งหมดนี้ในที่สาธารณะเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บเอกสาร

นี่คือรายการจำนวนกระสุนปืนอย่างเป็นทางการที่กองทัพไทยแจกจ่ายเพื่อการปฎิบัติการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งจัดตั้งโดยรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ระหว่างเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ ในเดือนเมษายน/พฤษภาคม ปี 2553

เอกสารมลงนามในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553 โดยหน่วยงานสป. 5 ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบกระสุนปืนของกองทัพไทย

ในการเบิกจ่ายกระสุนทั้งหมด 597,500 นัดรวมถึงกระสุนเบอร์ขนาด 00, 5.56มม. x 45มม. ซึ่งใช้กับปืนไรเฟิลจู่โจมเอ็ม 16 และกระสุนจำนวน 3,000 นัดขนาด 7.62มม. X 51มม. สำหรับปืนไรเฟิลซุ่มยิง SSG3000

รายการระบุว่ามีการคืนกระสุนจำนวนกว่า 522,000 นัด ซึ่งหมายความว่ากระสุนจำนวนเกือบ 77,000 ถูกกองทัพไทยใช้ยิงในระหว่างการปฏิบัติการศอฉ.

ข้อมูลที่น่าตกใจที่สุดคือมีการคืนกระสุน  7.62มม. X 51มม. สำหรับปืนไรเฟิลซุ่มยิง SSG3000 จำนวน 880 นัดเท่านั้น นั้นหมายถึงว่าค่อนข้างจะเป็นที่แน่นอนว่ากระสุนพลซุ่มยิงจำนวน 2,120 นัดจาก 3,000 นัดถูกกองทัพใช้ยิงผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในดือนเมษายน/พฤษภาคม ปี 2553


This is the latest document release for the Thai Accountability Project. We believe some or all of this document has been released before. However we wish to place its full contents in the public domain for archiving purposes.

Here is the official count of small-arms munitions as supplied by the Thai Army for its use during the Prime Minister Abhisit-sanctioned Centre for the Resolution of the Emergency Situation (CRES) operations during the April/May 2010 Bangkok Massacre.

It’s signed off by the SP5 munitions unit of the Thai Army, on 20 December 2010.

In total 597,500 small-arms munitions were issued in the form of 00 shotgun cartridges, standard 5.56mm x 45mm cartridges as used by M16 family of assault rifles, 3000 7.62mm X 51mm shells for SSG3000 sniper rifles.

The list then counts that just over 522,000 cartridges and shells were returned meaning that almost 77,000 shells and cartridges were fired by the Thai Army during the CRES operations.

The most shocking detail is that only 880 7.62mm X 51mm shells for the SSG3000 sniper rifle were returned after the CRES operation. This means that 2120 sniper rounds of the 3000 issued were almost certainly fired by the Thai Army at the Red Shirt protesters in April/May 2010. 




Wednesday, 27 May 2015

Centre for the Resolution of the Emergency Situation (CRES) order, April 17, 2010

นี่คือเอกสารฉบับฉบับล่าสุดที่เราเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในแคมเปญ Thailand Accountability Project (TAP) อย่างไรก็ตาม แม้เอกสารบางฉบับอาจถูกเผยแพร่มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เรามองว่าบทบาทของแคมเปญ TAP คือการจัดเก็บเอกสารในพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้

นี่คือเอกสารคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จัดทำในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553 ลงนามโดยพลโทอักษรา เกิดผล

เอกสารนี้อ้างว่ามีผู้ก่อการร้ายติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง และมีการอนุญาติให้ใช้พลแม่นปืนและพลซุ่มยิง

ทั้งยังมีการระบุกฎการใช้กำลังว่า

“ให้มีการยิงเตือนหากผู้ต้องสงสัยไม่ยอมให้ทำการตรวจค้น/จับกุม และกำลังะหลบหนี และเจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธ “ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย” และไม่เกินกว่าเหตุได้ และหาก “ผู้ก่อเหตุซึ่งมีอาวุธใช้อาวุธต่อเจ้าหน้าที่” เจ้าหน้าจึงสามารถใช้อาวุธตอบโต้ได้ อย่างไรก็ตามหาก “ผู้กาอเหตุ” ปะปนอยู่ใน “ฝูงชน” เจ้าหน้ามิควรยิงข้าไปใน “ฝูงชน” เพราะอาจ “ทำอันตราย” ต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นควรใช้ “พลแม่นปืน” แทน และหากยากต่อการจัดการกับ “ผู้ก่อเหตุ” เจ้าหน้าที่สามรถร้องขอใช้ “พลซุ่มยิง” จากศอฉ. ได้


Here is the latest document release in our ongoing Thailand Accountability Project (TAP). Some of these documents may already be in the public domain others may not. However, we view the role of TAP as archiving documents in the public domain for the Thai public to access.

This is the Centre for the Resolution of the Emergency Situation (CRES) order produced on April 17, 2010 and signed by Lt.Gen.Aksara Kerdphon.

The document claims there are armed terrorists among the Red Shirt protesters and allows the use of marksmen and snipers.

It also specifies the rules of engagement as being
 

 “Warning shots are allowed if the suspect refuses to be searched/arrested and is about to run away” and weapons can be used in a proportionate fashion “for lawful self-defence”. Also if an “armed perpetrator” is seen “using weapons against the authorities” then it’s permissible to use weapons against them. However if the “perpetrator” is in “a crowd” they should not shoot into the “crowd” as this could “harm” innocent people and therefore should use “marksmen” instead. If the “perpetrator” is harder to target they can also request a “sniper” to be used. 








Monday, 18 May 2015

บันทึกการเจรจาระหว่างสมาชิกวุฒิสภากับแกนนำนปช. วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ในชั่วโมงสุดท้ายของการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในกรุงเทพฯ แกนนำผู้ชุมนุมร่วมประชุมกับสมาชิกวุฒิสภาหลายคนในความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อเจรจาหาทางออกที่สันติ

รายละเอียดของการเจรจามักถูกโต้แย้งอย่างรุนแรงอยู่เสมอ ในตอนหลังรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อ้างว่าเสื้อแดง/นปช.ตกลงจะ “หยุดยิงทหาร” เท่านั้น คำกล่าวนี้บอกเป็นนัยว่าแกนนำผู้ชุมนุมปฏิเสธที่จะตกลงเจรจาอย่างสันติโดยปราศจากเงื่อนไข

วันนี้ เราขอเผยแพร่บันทึกในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ในบันทึกระบุว่าการเจรจาระหว่างเสื้อแดง/นปช. และสมาชิกวุฒิสภาเกิดขึ้นเวลา 18.30น. -20.15น. เอกสารฉบับนี้เผยให้เห็นว่าเสื้อแดง/นปช. เห็นด้วยกับการเจรจาแบบไม่มีเงื่อนไขกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนอกจากนี้สมาชิกวุฒิสภายังได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่า หากแกนนำเสื้อแดง/นปช.เข้าร่วมการพูดคุยอย่างไม่มีเงื่อนไข นายอภิสิทธิ์จะยับยั้งการใช้ทหารเข้าปราบปรามในอนาคต

การที่เอกสารนี้ได้รับการรับรองและลงนามโดยตำรวจซึ่งเรา
สันนิษฐานว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทำให้เอกสารนี้มีมูลน่าเชื่อถือ ดังนั้นเอกสารนี้จึงเป็นบันทึกที่สมบูรณ์ที่สุดที่อธิบายรายละเอียดการเจรจาระหว่างสมาชิกวุฒิสภากับแกนนำเสื้อแดง/นปช. ใน วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แน่นอนว่า ในวันรุ่งขึ้น วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 กองทัพไทยภายใต้คำสั่งของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้กระทำการที่นำไปสู่การตายของพลเรือนมือเปล่าไทย 6 รายในวัดปทุมฯ

ผู้อ่านสามารถอ่านรายละเอียดบันทึกการเจรจาในสำเนาที่แนบมาด้านล่าง



Memo Of Senate Negotiations With UDD Leadership May 18th 2010

On May 18th 2010, in the final hours of the Red Shirt/UDD pro-democracy protest in Bangkok, the protest leaders met with several members of the Thai senate in a last attempt to negotiate a peaceful resolution.

The contents of that negotiation has always been deeply contested - the Abhisit government later claimed that the Red Shirts/UDD had stated that they would only “stop shooting at the Army”, a statement that clearly implies that the protest leaders refused to agree to unconditional peace talks.

Today we publish a memo dated 18th May 2010 - it even specifies a time frame of 630pm-815pm - which amounts to the only record of the Red Shirt/UDD and senator negotiations. This document reveals that the Red Shirts/UDD did agree to an unconditional negotiation with the Abhisit regime and, furthermore, that the senators had a form of commitment from the Abhisit regime that if the Red Shirts/UDD leadership did participate in unconditional talks, then Abhisit would suspend any further military crackdown.

What lends substantive weight to this memo is that it has been signed and certified by both a police Colonel and what we assume to be a DSI investigator. Therefore it provides the most definitive record of the senators’ negotiations with the Red Shirt/UDD leadership on May 18th 2010.

Of course, on the very next day, May 19th 2010, the Thai Army, operating under the instruction of the Abhisit regime’s orders, conducted an operation at the Wat Pathum temple which led to the deaths of six more unarmed Thai civilians.

A copy of the memo is provided below and an English translation follows.



Memo on key points and results of the negotiation between representatives of the senate and the UDD leadership.

Day: May 18, 2010
Time: 18.30-20-15
At Ratchaprasong Intersection

The senate met [held before the senators met with the UDD leadership] with the aim to find a solution to the national crisis which stemmed from the UDD protest. The chairman and first deputy chairman of the senate held discussions with pro non-violence senate group and agreed to send three representatives to meet with UDD leaderships at Ratchaprasong Intersection at 19.00 in order to hear the [negotiation] conditions and present them to the government. The senate members [of this group] preliminarily agreed that both sides must establish a ceasefire first. This proposal was put to the Prime Minister [Abhisit] at 13.30 when the chairman of the senate called and informed him. The PM didn’t oppose the proposals and asked the leader of the senate to ask the senate’s representatives to ask three questions [of the UDD leadership].

1.Can the oil truck be move from Rama IV Road?
2.Can the government be allowed to rescue the injured, children and those who want to return home?
3. What does it mean for both side to stop? Does it mean stop shooting, stop confronting or what?

At 18.30, five senate representatives, assigned by the chairman of the senate - General Lertrat Ratanavanich, Pol Lt-Gen Yutthana Thaipakdi, Wicharn Sirichai-Ekawat, Singchai Tuengthog and Narumon Siriwat - traveled to Ratchaprasong Intersection to negotiate with the UDD leadership, to ask and find out the answers for three questions on behalf of PM, to hear the negotiation conditions, to find solution for the national crisis and to them present it to PM and also to inform them that the senate believed both side should halt the confrontation and call an immediate ceasefire.

Here were the key details of the meeting between the representatives of the senate and the UDD leadership;

1.UDD leadership were not opposed to the government’s demand to move the oil truck because they didn't know who put it in the middle of the road anyway and they are happy to have the government rescue the injured in Wat Prathum.

2. UDD leadership agreed and were happy to follow the proposals to help reduce the confrontation and clashes on all sides. They proposed that the govt should withdraw the troops from the demonstration site while negotiaion was on (the govt should proceed before 12PM on May 19th, 2010 if possible).

3.UDD leadership was happy and ready to unconditionally enter into the negotiation process held by the senate  with the government

4. If the negotiation was held the UDD leadership would send 2-3 of its representatives to negotiate with the government and were confident in their representatives’ decision and the UDD’s own unity.

5.If the negotiation was held, the senate members ( Pol Lt-Gen Yutthana Thaipakdi and other senate representatives who attended this meeting) would be prepared to ensure 2-3 UDD representatives’ safety and guaranteed they would not be arrested while negotiating with the government. A car would be provided.

6. When the negotiation ended and all sides were happy the UDD leadership was still concerned about the crowd dispersal process because they had to ensure the protesters understood the situation and would be calm enough before going home otherwise there may be a problem in that the protesters may not accept the negotiation result that the UDD leaderships had agreed upon - this process would likely take a bit of time.

Furthermore, one of the UDD leadership arrived at meeting (at around 19.40) and informed everyone that “tomorrow at 5AM. the army will crackdown on the protesters”. The senate representatives then expressed that in their opinion that if that was to happen, it might be the government’s tactic to just create a form of negotiation leverage. The government might intend to proceed with a further crackdown because the PM had already acknowledged and was already aware that the representative of the senate were taking part in negotiations. Also everyone hoped that if the [senate/UDD] negotiations that night reached a clear conclusion and led to a further negotiation [between the government & the UDD] the next morning with the senate as the mediator, then they would inform the Prime Minister immediately and this might help stop the government’s protest dispersal operation on the next day [19th May].
 

[Note - the signatories at the bottom of the document can not be accurately and fully ascertained. What can be read is “[unknown signatory] witness” and  “Police Colonel [unknown signatory] investigate, record.” The document is then dated “Nov 7, 2011”. The document appears to be signed by these persons to confirm that the memo is a verified piece of evidence to be presented after that date.]

Sunday, 17 May 2015

รายงานทางนิติวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการตายในวัดปทุมฯ 19 พ.ค. 2553


นี่คือรายงานทางนิติวิทยาศาสตร์หมายเลข 838/2553 หน้า 14-15 ซึ่งจัดทำโดยสำนักตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการสังหารประชาชนในวัดปทุมฯ ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เราไม่แน่ใจว่าเอกสารฉบับนี้จัดทำวันไหน เนื่องจากเราได้รับเอกสารจากหน้า 4-15 ของเอกสารทั้งหมดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการลงวันที่ของเอกสาร เอกสารฉบับนี้น่าจะจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคมจนถึงวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ในวันนี้ เราจะเผยแพร่เอกสารสองหน้าสุดท้ายของรายงานเท่านั้น เนื่องจากมีรายละเอียดบทสรุปที่สำคัญของรายงาน
เราจะเผยแพร่เอกสารหน้า 4-13 ในวันหลัง โดยหน้าดังกล่าวมีเนื้อหาอธิบายการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุวัดปทุมฯ อย่างละเอียดและเฉพาะทาง


เราอยากให้ผู้อ่านเน้นความสนใจไปที่หมายเลขหัวข้อ 10.1, 10.2, 10.3, 10.4, 10.5, 10.6, 10.7 และ 10.10 ซึ่งอยู่ในหัวข้อบทสรุป



Forensic Crime Report Relating To Deaths At Wat Patum, May 19th 2010

This is a summary translation of pages 14 and 15 of a forensic report numbered 838/2553 that was produced by the Crime Scene Investigation Department of Central Institute of Forensic Science relating to the killing of 6 persons at the Wat Pathum temple in central Bangkok on the 19th May 2010. We are unsure of the exact date this report was issued as we’ve only been able to obtain pages 4 to 15 of the entire report. However judging from the signed date, it must’ve be completed sometime between May 19th and October 23rd 2010.

At present we are only publishing the final two pages of the report as these hold the key conclusions of the report. Furthermore the English translation at this point will only be of the essential elements of that conclusion.

We will be publishing pages 4 to 13 at a later date - these pages offer a thorough and very technical examination of the crime scene at Wat Pathum.

The summary English translation below the documents relates to the specific subtopics contained within the report’s conclusion and is a summary. 


From the report's conclusion it is self-evident the victims were unarmed. It also appears that all the bullet-fire originated from the elevated position on the BTS tracks outside Wat Patum. This position was held by the Thai Army and no forensic evidence is offered in the pages of the report we currently hold that that position came under fire from the direction of Wat Patum.


Subtopic 10.1 No evidence of explosive material, drugs or use of fire arms was found on the bodies on any of the six victims

Subtopic 10.2, In summary this subtopic concludes that one of the victims Mr. Rop Suksathut, was shot and killed from a bullet that was fired from above and which traversed downwards through his body.

Subtopics 10.3, 10.4, 10.6, 10.7 conclude that four other victims Mr. Attachai Chumchan, Ms. Kamonkade Akkahad, Mr. Sukan Sriraksa and Mr. Akradet Khankaew all died as a result of being shot in the back.

Subtopic 10.5 concludes that Mr. Mongkol Khemthong was shot and killed from a bullet that was fired from above and which traversed downwards through his body.

Subtopic 10.10 concludes that the bullet marks on the road barrier in front of Wat Patum and within the temple itself indicate that the firing trajectory of the bullets originated from the elevated BTS rail tracks in front of the Wat Pathum.

The report is signed and dated by

Ms. Jitnipa Sam-angsri

Forensic Scientist, Professional Level
  
October 23, 2010

Pol.Lt.Col. Watcharat Chalermsuksan

Forensic Scientist, Professional Level

October 23, 2010

Saturday, 16 May 2015

Advice From Attorney General To Thai PM Abhisit Vejjajiva re: Use of Force

This document, dated October 2009, is from the Thai Attorney General, Chulasingh Vasantasingh, to then Thai Prime Minister, Abhisit Vejjajiva, and is in regards to the use of force by the Thai authorities to disperse unlawful protests. Both Chulasingh and Abhisit have signed the document meaning that the Attorney General’s advice has been formally acknowledged by PM Abhisit.

It’s relevance and importance is that it establishes as fact that PM Abhisit knew he had responsibility should there be any excess use of force by the Thai authorities in any crowd dispersal - even if that crowd acted unlawfully - and that PM Abhisit had been informed as to the legal limits of the use of force should such force be required.

Given that there were multiple incidences of unarmed & peaceful protesters being shot and killed by Thai Army marksmen and snipers in April/May 2010 and that such actions appeared systematic and organised, there seems strong grounds to suggest that the advice of the Attorney General was knowingly breached and ignored.


The English translation is below the document.



Office of The Attorney General
Na Hap Phoei Road Bangkok 10200
No. 001/13406
15th October B.E. 2552 [2009]

Subject: International Standards of Crowd Dispersal

Excellency,

Attached: Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials 1990.

As in the meeting of the Internal Security Operations Command [ISOC] committees number 6/2552, held on 14th October B.E. 2552 [2009] that the Attorney General referred to the ruling of the Administrative Court black case number 1605/2551 [a black case refers to an “undecided” case - our assumption is that this particular case had not reached the highest court so the ruling was possibly non-binding see note below] which laid the legal grounds on the dispersal of unlawful and unconstitutional assemblies and that during said dispersals “the action of the police authorities to disperse the crowd must…follow the procedure of the international standards of crowd dispersal”, something the Prime Minister [Abhisit] mentioned regarding United Nations’ standard [of dispersal] in the meeting.

The Attorney General would like to inform [PM Abhisit] that if there is any legal case brought to the court [as a result of the dispersal], then the Internal Security Operations Command committees and the operational authorities must explain to the court whether they considered the procedure used during the operation to disperse the crowd to be consistent with international standards and the above ruling of the administrative court [black case number 1605/2551] or not. The Attorney General conducted an examination and found that the United Nations Basic Principles on the Use of Force and Firearm by Law Enforcement Officials 1990 stipulated that crowd dispersal standards in section 12, 13 and 14 - the important details can be seen in the attached document - state that in the dispersal of assemblies that are unlawful but non-violent, law enforcement officials shall avoid the use of force or, where that is not practicable, shall restrict such force to the minimum extent necessary. And after considering these principles, it is consistent with the document used in the meeting: appendix E regarding the Principles on the Use of Force.

For your consideration and further action.

Your sincerely
Signed
Chulasingh Vasantasingh
Attorney General

Signed
Abhisit Vejjajiva
Prime Minsiter

The handwritten notation above Abhisit’s signature says “Order the chief of police to the examine the consistency of the above” [In reference to the crowd dispersal standards].

Note on Administrative Court black case number 1605/2551 - refers to the People's Alliance for Democracy (PAD) administrative case against the Somchai Wongsawat government’s use of force to disperse their protest in 2008. Some details of the case can be found by searching here -  http://court.admincourt.go.th/ORDERED/accuse_new.aspx


คำแนะนำจากอัยการสูงสุดถึงนายกฯอภิสิทธิ์เรื่องกฎการใช้กำลัง

เอกสารฉบับนี้ ซึ่งลงวันที่ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 คือเอกสารจากอัยการสูงสุดนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ส่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งดำรงต่ำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เอกสารฉบับนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐไทยเข้าสลายการชุมนุมอันมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนายจุลสิงห์ และนายอภิสิทธิ์ได้ลงนามในเอกสารซึ่งหมายความว่านายอภิสิทธิ์รับทราบคำแนะนำของอัยการสูงสุด
เอกสารนี้มีความเกี่ยวข้องและสำคัญตรงที่มันคือเอกสารจัดตั้งข้อเท็จจริงที่ว่านายกฯอภิสิทธิ์รู้ว่าเขาต้องรับผิดชอบหากมีเจ้าหน้าที่รัฐไทยใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุมแม้ว่าผู้ชุมนุมจะกระทำผิดกฎหมายก็ตาม และนายกฯอภิสิทธิ์ได้รับแจ้งถึงข้อจำกัดทางด้านกฎหมายหากจำเป็นต้องมีการใช้กำลังนั้น
ตามข้อเท็จจริงคือมีหลายเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมอย่างสันติและปราศจากอาวุธถูกพลแม่นปืนและพลซุ่มยิงจากกองทัพไทยยิงสังหารในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 และการกระทำดังกล่าวมีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ดูเหมือนว่ามีเหตุผลอันหนักแน่นที่ชี้แนะว่าคำแนะนำทางด้านกฎหมายของอัยการสูงสุดถูกเพิกเฉยและมิได้ถูกปฏิบัติตามอย่างจงใจ
ข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์คือ 
คดีหมายเลขดำอ้างถึงคดีที่ยัง “มิถึงที่สุด” - ข้อสันนิษฐานของเราคือในบางคดีที่ศาลสูงสุดยังมิได้ตัดสิน คำสั่งศาลอาจไม่ผูกมัดข้อกรณี
คำสั่งศาลปกครองกลางหมายเลขดำที่ ๑๖๗๐๕/๒๕๕๑ อ้างถึงคดีปกครองที่สมาชิกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ฟ้องร้องรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมในปี 2551 รายละเอียดคดีสามารถค้นได้ที่ http://court.admincourt.go.th/ORDERED/accuse_new.aspx